ความเชื่อที่ว่าทานกะทิแล้วอ้วน ต้องอ่าน!!!!!
“กะทิ"ประกอบด้วยกรดไขมันที่มีขนาดปานกลาง ซึ่งถูกย่อยได้ง่าย และเคลื่อนย้ายได้สะดวก เมื่อบริโภคเข้าไป จะผ่านลำคอไปยังกระเพาะเข้าสู่ลำไส้ แล้วไปถูกเผาผลาญให้เป็นพลังงานในตับโดยไม่ไปสะสมเป็นไขมันเหมือนกับน้ำมันไม่อิ่มตัวที่มีโมเลกุลขนาดใหญ่ ดังนั้นผู้บริโภคกะทิจึงแข็งแรงเพราะได้พลังงานทันทีที่บริโภคเข้าไป อีกทั้งยังไปกระตุ้น ให้ต่อมธัยรอยด์ทำงานได้ดีขึ้น ก่อให้เกิดความร้อน จากผลของอุณหภูมิthermo genesis ซึ่งช่วยในการเผาผลาญอาหารที่บริโภคเข้าไปพร้อมกัน ให้เปลี่ยนเป็นพลังงานแทนที่จะไปสะสมเป็นไขมันในร่างกาย ยิ่งไปกว่านั้นความร้อนที่เกิดขึ้น ยังไปช่วยสลายไขมันที่ร่างกายสะสมอยู่ก่อนหน้านั้น ให้สลายตัวไปเป็นพลังงาน จึงทำให้ผู้บริโภคผอมลง
ดังคำกล่าวที่ว่า Eat Look Thin และนี่เอง เป็นเหตุให้คนสมัยโบราณ ไม่ค่อยมีใครอ้วนเพราะรับประทานกะทิ ร่วมกับอาหาร หวาน-คาว
นอกจากตัวมันเองจะไม่ไปสะสมเป็นไขมันแล้ว กะทิยังช่วยไปดึงเอาไขมันที่ร่างกายสะสมไว้ก่อนหน้านั้น ไปเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน”
(ข้อมูลจาก เอกสารวิชาการฉบับที่ 3/2551 “ มาใช้กะทิแทนนมกันเถอะ” ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการใช้กะทิประกอบอาหารไทยกำลังถูกลูกหลานไทยละเลยโดยเปลี่ยนจากกะทิไปเป็นนม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ อย่างมากโดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนา น้ำมันมะพร้าว แห่งประเทศไทย)
ดังคำกล่าวที่ว่า Eat Look Thin และนี่เอง เป็นเหตุให้คนสมัยโบราณ ไม่ค่อยมีใครอ้วนเพราะรับประทานกะทิ ร่วมกับอาหาร หวาน-คาว
นอกจากตัวมันเองจะไม่ไปสะสมเป็นไขมันแล้ว กะทิยังช่วยไปดึงเอาไขมันที่ร่างกายสะสมไว้ก่อนหน้านั้น ไปเปลี่ยนให้เป็นพลังงาน”
(ข้อมูลจาก เอกสารวิชาการฉบับที่ 3/2551 “ มาใช้กะทิแทนนมกันเถอะ” ภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยในการใช้กะทิประกอบอาหารไทยกำลังถูกลูกหลานไทยละเลยโดยเปลี่ยนจากกะทิไปเป็นนม ซึ่งก่อให้เกิดปัญหาต่อสุขภาพ อย่างมากโดย ดร. ณรงค์ โฉมเฉลา ประธานชมรมอนุรักษ์และพัฒนา น้ำมันมะพร้าว แห่งประเทศไทย)

ฉนั้นแล้ว แอมสรุปได้ ว่า กินมากเกินไปก็อ้วน กินแต่พอดี ไม่อ้วนแน่นอนค่ะ (::^ω^::)
****ปิดท้ายด้วย ขนมที่ทำจากมะพร้าวจากที่ร้านที่แอมทำงาน ไม่คลีนนะ แต่ไม่นมไม่เนย***
ไม่ได้โปรดโหมดนะ แต่อร่อย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น